:: ครูนวพร ::

  • Today’s Photo

  • Calendar:

    มกราคม 2010
    อา. จ. อ. พ. พฤ. ศ. ส.
     12
    3456789
    10111213141516
    17181920212223
    24252627282930
    31  
  • Archieves:

  • จำนวนผู้เข้าชม

    • 524,339 hits

Hug Therapy: การบำบัดด้วยการกอด

Posted by Kru nawaporn บน มกราคม 22, 2010

j0309137 บางคนอาจะไม่เคยได้ยินว่าการกอดเป็นการบำบัดวิธีหนึ่ง แต่ทุกคนก็คงจะทราบว่าการกอดเป็นสัมผัสที่ดี    การบำบัดด้วยการกอดนี้เป็นทฤษฎีที่พูดถึงการสัมผัส  ซึ่งการสัมผัสนั้นไม่พียงแต่ดี แต่เป็นเรื่องจำเป็น   มีการวิจัยที่สนับสนุนทฤษฎีนี้ว่า  การถูกกระตุ้นโดยการสัมผัส  เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับสรีระร่างกาย  ความสำคัญนี้ สำคัญพอๆกับภาวะสมดุลของร่างกายและจิตใจ

            การใช้ การสัมผัสบำบัด เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการบำบัด ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการบำบัดทางการพยาบาล เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการอบรมในหน่วยงานทางการแพทย์ใหญ่ๆในต่างประเทศ หลายแห่ง  มีศูนย์ศึกษาและวิจัยเกี่ยวกับการสัมผัสเช่น  สถาบันการวิจัยเรื่องการสัมผัสที่มหาวิทยาลัยไมอามี  (Touch Research Institutes at the University of Miami School of Medicine)

Dolores Krieger   R.N. Ph.D.  เป็นศาสตราจารย์ทางการพยาบาลที่ New York University และเป็นผู้เชี่ยวชาญในสาขาการบำบัดด้วยการสัมผัส กล่าวว่า บุคคลที่ได้รับการกอด หรือกอดผู้อื่น จะทำให้เกิดการกระตุ้นการทำงานของ Hemoglobin ทำให้การลำเลียงของ oxygen ไปเลี้ยงเนื้อเยื่อต่างๆ ทำงานได้อย่างทั่วถึง ทำให้บุคคลเกิดความรู้สึกสดชื่น มีชีวิตชีวา

            มีงานวิจัยเกี่ยวกับการใช้วิธีกอดในผู้ป่วยสูงอายุ (อายุ70ปีขึ้นไป)   พบว่า เมื่อใช้การกอดบำบัด ทำให้ผู้สูงอายุ มีภาวะสุขภาพที่ดีขึ้น มีความกระตือรือร้น มีความต้องการที่อยากจะมีชีวิตอยู่ต่อไป และมีความสามารถในการแก้ไขปัญหาต่างๆมากขึ้น

            การสัมผัสช่วยบรรเทาความเจ็บปวดซึมเศร้า และความวิตกกังวล ทำให้ผู้ป่วยมีความตั้งใจที่จะมีชีวิตอยู่ การสัมผัสช่วยให้เด็กคลอดก่อนกำหนดได้รับการชดเชยเหมือนอยู่ในตู้อบ ทำให้เด็กเติบโต มีทักษะในการดำเนินชีวิต

            ผลการทดลองทางวิทยาศาสตร์ หลายการทดลองเกี่ยวกับสัมผัส  ได้ผลว่า

1.  ทำให้เรารู้สึกดีต่อตนเอง และสิ่งแวดล้อม

2.  ทำให้เกิดผลด้านบวกของการพัฒนา IQ เด็ก

3.  ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางด้านสรีระ สามารถวัดผลได้ทั้งผู้ที่สัมผัสและผู้ถูกสัมผัส

การสัมผัสมีหลายรูปแบบ แต่การกอดเป็นการสัมผัสที่เฉพาะ และเป็นหนทางหลักที่จะบำบัดเพื่อสุขภาพ

พลังของการกอด

การกอดทำให้เกิดหลายสิ่ง หลายอย่างที่คุณไม่เคยคิดถึงมาก่อน

1.  ทำให้เกิดความรู้สึกดีๆ

2.  คลายความรู้สึกหายเหงา

3.  เอาชนะความกลัวได้

4.  เป็นประตูเปิดไปสู่ความรู้สึกอื่นๆ เข้าถึงความรู้สึกอื่นๆ

5.  สร้างความภาคภูมิใจ

6.  เป็นการช่วยคนที่ไม่มีใครสนใจ

7.  ช่วยชลอความแก่

8.  ช่วยลดน้ำหนักได้  ความอยากอาหารจะลดลง เนื่องจากได้รับการเติมเต็มในเรื่องความเอาใจใส่

สิ่งดีอื่นๆจากการกอด

1.  ลดความตึงเครียด  ต่อสู้อาการนอนไม่หลับ

2.  ทำให้กล้ามเนื้อแขน ขา ไหล่ได้ทำงาน

3.  ช่วยยืดกล้ามเนื้อสำหรับคนที่เตี้ยให้สูงขึ้น  เมื่อไปกอดคนที่สูงกว่า

4.  ช่วยทำให้คนสูงเตี้ยลง เมื่อไปกอดกับคนที่สูงน้อยกว่า

5.  เป็นทางเลือกในการให้คำมั่นสัญญา ความผูกพัน

6.  ช่วยในเรื่องภาวะสุขภาพ

7.  ทำให้เกิดความคุ้นเคย สนิทสนมกันมากขึ้น

ผลกำไรจากการกอด

1.  สะท้อนให้เห็นสิ่งแวดล้อมที่ดี บรรยากาศที่ดี

2.  เป็นการใช้พลังงานที่มีประสิทธิภาพ ช่วยประหยัดพลังงาน  รักษาความอบอุ่นในการสัมผัส

3.  สามารถทำได้ทุกที่ ไม่ต้องใช้อุปกรณ์ สามารถกระทำได้ตั้งแต่บันไดบ้านจนถึงที่ประชุมบริหาร

4.  ทำให้วันที่มีความสุข ยิ่งมีความสุขมากยิ่งขึ้น

5.  ส่งผ่านความรู้สึกที่เป็นเจ้าของ

6.  เติมเต็มช่องว่างให้กับชีวิต

7.  ความคงอยู่ของความรู้สึก แม้ว่าจะเลิกกอดแล้ว

การกอดเพื่อสุขภาพ

            การกอด คือภาวะสุขภาพ  ช่วยให้ระบบภูมิต้านทานในร่างกาย ทำงานได้ดีขึ้น สุขภาพจะดีขึ้น  รักษาภาวะซึมเศร้า ลดความตึงเครียด  ทำให้มีชีวิตชีวา  เป็นยาที่วิเศษ ไม่มีผลข้างเคียง  การกอดเป็นเรื่องธรรมชาติ และเรื่องชีวภาพ  เป็นความอ่อนโยน ความอ่อนหวานอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่มีพิษภัย   ทำให้เกิดความเข้าใจเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน มีความผสมกลมกลืน

การกอดเป็นวิธีปฏิบัติที่สมบูรณ์ มีพลังสูง พิสูจน์ได้ตลอดเวลา ไม่มีค่าใช้จ่าย ไม่เกิดมลภาวะ

            กอดวันละครั้ง ทำให้ห่างไกลจากการพบแพทย์   (A Hug a Day Keeps The Doctor Away) การกอดเป็นวิธีการเริ่มต้นวันที่ดี   มีความจำเป็นในการสร้างภาวะสมดุลของอารมณ์   มีการทดลอง ที่แสดงผลว่าการกอดทำให้คนรู้สึกดีกับตนเอง ทำให้พัฒนาทักษะในการสื่อสารในเด็ก ช่วยปรับปรุงสุขภาพจิตของคนที่ถูกกอด

            ยกตัวอย่างบทความเรื่อง  “การกอดเป็นการช่วยชีวิต”   เป็นเรื่องของเด็กแฝด 2 คน ที่คลอดออกมาในสัปดาห์แรก และให้อยู่ในตู้อบคนละตู้ และเด็กแฝดคนหนึ่งอยู่ในภาวะที่ทุกคนไม่คิดว่าจะมีชีวิตรอด    มีพยาบาลคนหนึ่งมีความคิดที่สงสารเด็ก จึงทำผิดระเบียบโดยนำเด็กแฝดที่ไม่คิดว่าจะมีชีวิตอยู่รอดไปอยู่กับฝาแฝดพี่น้องในตู้อบเดียวกัน    เมื่ออยู่ด้วยกันทั้งคู่ใช้แขนกอดกัน เป็นที่น่าอัศจรรย์ ที่เด็กแฝดที่อ่อนแรง มีการปรับเปลี่ยนของอัตราการหายใจและอุณภูมิในร่างกาย และเข้าสู่ภาวะปกติในเวลาต่อมา

j0430778Kathleen  Keating   เป็นพยาบาลและเป็นผู้ที่มีความรู้เชี่ยวชาญในประโยชน์ของการกอด ได้แต่งหนังสือ การบำบัดด้วยการกอด (Hug  Therapy)   ขึ้นมาเพื่อให้ทุกคนเห็นความสำคัญ และเห็นถึงพลังของการกอด   มีการทดลองหลายการทดลองที่แสดงให้เห็นว่า  การกอดทำให้ เด็กๆ ได้พัฒนาในทักษะทางภาษา  และ IQ   และ มีตัวอย่างจาก  David Bresler Ph.D. ซึ่งเป็นผู้บริหารของ  UCLA   (University   Of   Callifornia   Losanglelis)  ทำงานในคลินิกที่รักษาอาการเจ็บปวด  ได้ศึกษาหาวิธีการที่ช่วยให้ผู้ป่วยหายจากอาการเจ็บป่วย  จึงได้ทดลองนำผู้ป่วยหญิงที่มีความทุกข์ทรมานจากการ เจ็บปวด  มารักษาด้วยวิธีการกอด  โดยให้สามี กอดหญิงเหล่านั้น วันละ  4 ครั้ง  แม้ได้รับการบำบัดเพียง 1 ครั้ง ความเจ็บปวด มีอัตราลดลง

            Helen Colton ผู้แต่งหนังสือ The Gift of Touch เป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องการสัมผัส กล่าวว่า การสัมผัสเป็นพื้นฐานของการรักษา สำคัญกว่าการรักษาด้วยยา ได้สังเกตว่า บุคคลที่ได้รับการกอด จะมีความรู้สึกพึงพอใจ ทำให้สภาพร่างกายและอารมณ์มีความเข้มแข็งพร้อมที่จะต่อสู้กับปัญหาและอุปสรรคต่างๆได้

            เรื่องการสัมผัสได้รับความนิยมทางด้านตะวันตก  ในทศวรรษที่ผ่านมา  เมื่อบิดา มารดา ไม่มีเวลาที่จะกอดเด็กๆ  จึงนิยมใช้ตุ๊กตาหมีให้เด็กกอดแทน  การผลิตตุ๊กตาหมีจึงผลิตกันอย่างแพร่หลาย

การกอดเพื่อการทักทาย หรือการทำเพียงผิวเผิน ไม่ถือว่าเป็นการกอดเพื่อการบำบัด 

Delhi  Sanjivini  เป็นศูนย์การรักษาผู้ป่วยที่มีปัญหาด้านจิตใจที่รู้จักกันดีในประเทศอินเดีย  ได้ใช้วิธีการรักษาด้วยผู้ป่วยจิตเภทโดยการกอด   ซึ่ง Dr. Rajat Mitra  (หัวหน้าศูนย์)  ได้จัดหาอาสาสมัครที่จะมาบำบัดผู้ป่วยโดยการกอด  ซึ่งจะใช้ในผู้ป่วยเพศเดียวกัน  Dr. Rajat Mitra  กล่าวว่า ผู้ป่วยจิตเภทจะมีลักษณะของการถดถอย จึงใช้วิธีการรักษาที่เป็นธรรมชาติ เช่นถ้าเราพบเด็กอายุ 2 ปี ร้องไห้ เราก็นำเด็กมานั่งตัก เป็นการช่วยเหลือที่ง่ายๆ  ไม่ต้องอาศัยหลักปรัชญาที่ยุ่งยากใดๆ

ในปี 1998  มีการศึกษาที่ได้รับการเผยแพร่ใน วารสาร  American Medical  Association  มีการทดสอบศูนย์การรักษาด้วยการบำบัด  21 แห่ง พบว่า การสัมผัสช่วยป้องกันพลังงานในบุคคลได้ 100 %   มีงานวิจัย 6 เรื่องที่สนับสนุนข้อความดังกล่าว

Wirth. (1990)   ได้ทำการทดลองการหายของแผลบนผิวหนัง โดยใช้การสัมผัส    โดยรับสมัครผู้เข้ารับการทดลอง เป็นผู้ที่มีแผลที่แขนและเป็นผู้ที่ไม่เคยรักษาด้วยการสัมผัสหรือด้วยวิธีอื่นๆมาก่อน แบ่งกลุ่มที่ศึกษาเป็นกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม  ผลการทดลองพบว่าหลังจากใช้วิธีการสัมผัส 16 วัน แผลของกลุ่มทดลองหายอย่างสมบูรณ์ ในขณะที่กลุ่มควบคุมแผลยังไม่หาย

ข้อมูลในประเทศไทย

            จากบทความของโรงพยาบาลจิตเวชขอนแก่นราชนครินทร์  ได้กล่าวถึงการกอดไว้ว่า….

            การกอด .. มีประโยชน์ต่อสุขภาพ ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันโรค ผ่อนคลายความเครียด ลดความกดดัน และทำให้นอนหลับสนิทช่วยให้คนเรามีชีวิตชีวา กระปรี้กระเปร่า และไม่มีผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ .. การกอดคือยาวิเศษดีๆ นี่เอง

            การกอด .. เป็นผลิตผลของธรรมชาติ ได้จากสิ่งมีชีวิต ไม่ต้องผสมเทียม ไม่ก่อมลภาวะ ไม่เป็นพิษต่อสิ่งแวดล้อม และมีประโยชน์เต็ม 100 %

            การกอด .. เป็นของขวัญชิ้นเยี่ยม เหมาะสำหรับทุกโอกาส มอบให้กับบุคคลพิเศษของคุณ เพื่อเป็นการแสดงถึงความห่วงใยของคุณมาในรูปแบบของตัวเอง และแน่นอนว่ายินดีรับคืนเต็มที่เช่นกัน

            การกอด .. ที่สมบูรณ์แบบอย่างแท้จริง ไม่ต้องใช้ถ่านให้สิ้นเปลือง ไม่ยืด ไม่หด ไม่มีไขมัน ไม่ต้องผ่อนชำระ ใครก็ขโมยไม่ได้ และไม่ต้องเสียภาษี

            การกอด .. ใช้ทรัพยากรน้อย แต่มีอำนาจมหัศจรรย์ เพียงเราเปิดใจและอ้อมแขน

รศ.พญ.ศันสนีย์ ฉัตรคุปต์ ผู้อำนวยการสถาบันสร้างสรรค์ศักยภาพสมอง  ได้แนะถึงวิธีการส่งเสริมให้ลูกมีความฉลาดทางอารมณ์ว่า  ในส่วนของการเลี้ยงดูควรให้ความรัก ความอบอุ่น การกอด และสัมผัสเป็นการสื่อความหมายถึงความรักให้กับเด็กได้

            นอกจากนี้การศึกษาระบบใหม่ที่เรียกว่า นีโอฮิวแมนนิส  (Neo Humanist)  ซึ่งเป็นแนวทางการศึกษาที่มุ่งพัฒนา ‘อัจฉริยภาพ’ ในตัวเด็กด้วยการพัฒนารอบด้านทั้งร่างกาย สมอง ประสาทสัมผัส ในบรรยากาศผ่อนคลาย สนุกสนาน จะใช้วิธีการ การกอด การสัมผัส การพูดเชิงบวก การทำโยคะ อาสนะและสมาธิ   ดังนั้นก่อนออกจากห้องกิจกรรม หรือหลังจากการเรียกชื่อ  เด็กๆ ทุกคนจะได้กอดกัน   วิธีการการกอดเป็นวิธีการหนึ่งนอกเหนือจาการเล่านิทาน  การฟังเสียงเพลง ซึ่งเป็นหลักการคลื่นสมองต่ำ  นักวิทยาศาสตร์ได้ประดิษฐ์เครื่องมือวัดคลื่นสมอง ซึ่งสามารถตรวจพบว่าประสิทธิภาพการทำงานของคนเราจะแปรเปลี่ยนไปตามคลื่นสมองที่เราส่ง ยิ่งต่ำลงมากเท่าไรจะยิ่งมีประสิทธิภาพดีมากขึ้นเท่านั้น  นอกจากนี้ หลักการ ให้ความรักเป็นวิธีการหนึ่งที่เกิดผลดีกับเด็กซึ่งวิธีการได้จะได้ความรัก มีดังนี้

          1. รอยยิ้ม ตามหลักจิตวิทยา การยิ้มคือการยอมรับในความเป็นมนุษย์
          2. คําชม การนําเอาข้อดีมาพูด
          3. การสัมผัส ในเด็กวัย 3-6 ขวบต้องการสิ่งนี้มาก นักจิตวิทยาบอกว่าคนเราต้องการ   การสัมผัสอย่างน้อย วันละ 4 ครั้งเพื่อการมีชีวิตรอด 8 ครั้งเพื่อการมีชีวิตอยู่อย่างปกติ และ 14 ครั้ง เพื่อการมีชีวิตอย่างมีความสุข ถ้าไม่ได้รับเลยเขาจะอารมณ์ไม่ดี

 สถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่น  กล่าวถึง  การชื่นชมเด็กที่มีสมาธิสั้นว่า  การกอดรัดสัมผัสโดยพ่อแม่จะช่วยทำให้เด็กรู้สึกอบอุ่นปลอดภัย ไม่คิดว่าตนเองโดดเดี่ยว หรือถูกทอดทิ้ง เด็กจะภาคภูมิใจและมั่นใจในตนเองมากขึ้น

วิธีการกอด

Dr. Sidney Simon อธิบายวิธีการกอด ดังนี้

1.  คน 2 คนอยู่ด้วยกัน  มองหน้าซึ่งกันและกัน

2.  ไม่มีท่าทางที่ปฏิเสธการกอด

3.  ในการกอดแต่ละครั้งให้แสดงอย่างเต็มที่ถึงบุคลิกและสิ่งที่คุณต้องการมอบให้

4.  กอดโดยถ่ายทอดความรู้สึกที่สมบูรณ์และปราศจากความกลัว

5.  เป็นการสื่อสารที่ไม่ต้องใช้คำพูดให้ยุ่งยาก

….  วันนี้คุณกอดใครแล้วหรือยัง?  ….

ซาเทียร์ Virginia Satir (family therapist) กล่าวว่า

คนเราต้องการการกอดวันละ  4 ครั้ง เพื่อการดำรงชีวิต

คนเราต้องการการกอดวันละ  8 ครั้ง เพื่อการดำเนินชีวิต

คนเราต้องการการกอดวันละ 12 ครั้ง เพื่อการเจริญเติบโต

บทความโดย: นางสาวชัด ยุงสันเทียะ พยาบาลวิชาชีพ 7 สถาบันราชานุกูล “Hug Therapy: การบำบัดด้วยการกอด”

ใส่ความเห็น