:: ครูนวพร ::

  • Today’s Photo

  • Calendar:

    มกราคม 2013
    อา. จ. อ. พ. พฤ. ศ. ส.
     12345
    6789101112
    13141516171819
    20212223242526
    2728293031  
  • Archieves:

  • จำนวนผู้เข้าชม

    • 524,264 hits

Archive for มกราคม, 2013

"เลือกออกกำลังกาย ให้หัวใจได้ประโยชน์"

Posted by Kru nawaporn บน มกราคม 30, 2013

clip_image002เคยได้ยินไหมว่าคนนั้นชอบออกกำลังกายชอบเล่นกีฬาแต่ตายด้วยโรคหัวใจ

ข่าวทำนองนี้เรามักได้ยินเสมอเพราะหลายคนไม่รู้ว่ากีฬาบางอย่าง หรือการออกกำลังกายบางประเภท ไม่ทำให้หัวใจได้ประโยชน์เลย แต่จะมีสักกี่คนที่จะรู้ว่าออกกำลังกายแบบไหนที่เราจะได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่

การออกกำลังกายที่มีประโยชน์ต่อระบบหลอดเลือด และระบบสูบฉีดโลหิต เรามักคุ้นเคยกันดีว่าเป็นการออกกำลังกายแบบแอโรบิค คือการใช้ออกซิเจนเป็นส่วนสำคัญในการออกกำลังกาย เช่น เดินเร็ว วิ่งเหยาะ ขี่จักรยาน เต้นรำ เต้นแอโรบิค 

การออกกำลังกายแบบนี้จะช่วยให้หัวใจทำงานเพิ่มขี้น สูบฉีดโลหิตได้ดียิ่งขึ้นส่งผลให้หัวใจแข็งแรง ลดความเสี่ยงจากโรคหลอดเลือด โรคหัวใจที่ทุกวันนี้เอาชีวิตคนไทยและคนทั่วโลกไปมากต่อมาก 

หัวใจเต้นแรงขึ้นแค่ไหนเราถึงได้ประโยชน์

ไม่ใช่เงินในกระเป๋าที่ยิ่งมากยิ่งดี การออกกำลังกายเพื่อป้องกันโรคหัวใจถามหา ต้องทำให้หัวใจเต้นในระดับที่เร็วและแรงมากพอให้ร่างกายได้หลั่งฮอร์โมนที่ดีออกมา ที่เราเรียกว่า สารแห่งความสุขเอนดอร์ฟิน (ฮอร์โมนตัวนี้เป็นตัวที่ทำให้คนออกกำลังอารมณ์ดีและมีความสุข) 

clip_image004วิธีคำนวณการเต้นของหัวใจที่เหมาะสม
คนอายุไม่เท่ากัน ระดับการเต้นของหัวใจขณะออกกำลังกายก็ไม่เท่ากัน สูตรคำนวณง่ายๆ ผู้ชายเอาตัวเลข 220 ตั้ง แล้วลบด้วยอายุของคุณ ออกมาคือตัวเลข 100% ของความสามารถสูงสุดของหัวใจคุณ คุณจะได้ประโยชน์ในการออกกำลังกายครั้งนั้น ค่าเฉลี่ยควรอยู่ที่ 60-85%  ของการเต้นสูงสุด 

ส่วนผู้หญิงใช้ตัวเลข 226 ลบด้วยอายุ

 


ตัวอย่างผู้ชายอายุ
30 ปีอัตราสูงสุดของการเต้นของหัวใจเท่ากับ 220-30=190

ร่างกายของหนุ่มคนนี้จะได้ประโยชน๋ก็ต่อเมื่อหัวใจเต้นอยู่ในช่วง 60 – 85 % เท่ากับ 114 ครั้ง ถึง 161 ครั้งต่อนาที

วิธีจับการเต้นของหัวใจขณะออกกำลังกาย มีเคล็ดง่าย ๆ เพียงจับชีพจรที่ข้อมือ หรือใต้คางข้างลำคอเพียง 10 วินาทีแล้วคูณด้วย 6

ที่มา: เว็บไซต์ Never-age.com

Posted in กีฬา การออกกำลังกาย, นานาสาระ ..., สุขภาพ และโภชนาการ | Tagged: , , , , | Leave a Comment »

เพิ่มเวลานอนช่วยลดความเจ็บปวดได้

Posted by Kru nawaporn บน มกราคม 22, 2013

clip_image002เป็นที่รู้กันดีว่าร่างกายของเราต้องการการพักผ่อนด้วยการนอนหลับให้สนิทอย่างน้อยวันละ 8 ชั่วโมง เพื่อซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอรวมถึงทำให้สดชื่นพร้อมจะต่อสู้กับวันใหม่ต่อไปอย่างกระปรี้กระเปร่าแต่กิจกรรมที่ยุ่งเหยิงในแต่ละวัน หรือสิ่งที่อยากทำมีมากเข้ามนุษย์เรากลับยอมสละเวลาในการนอนหลับลงเป็นอันดับแรก ๆ 

หารู้ไม่ว่า การพักผ่อนให้เพียงพอนั้นส่งผลดีต่อความงาม (หน้าไม่แก่)สุขภาพแข็งแรง สมองสดชื่น และล่าสุด นักวิทยาศาสตร์ยังได้ค้นพบว่าการนอนมากชั่วโมงขึ้นในแต่ละคืน สามารถเพิ่มขีดความตื่นตัวและลดความเจ็บปวดลงได้

โดยหากต้องการลดความเจ็บปวดลง แทนที่จะใช้ยาลดอาการเจ็บปวดนักวิทยาศาสตร์พบว่าการนอนให้ได้ราว 10 ชั่วโมง คือเพิ่มขึ้นจากคำแนะนำตามปกติ 8 ชั่วโมง ขึ้นอีก 1-2 ชั่วโมงจะช่วยลดความเจ็บปวดที่เผชิญระหว่างวันลงได้อย่างชัดเจน

การศึกษาทดลองกับอาสาสมัครสุขภาพดีสิบแปดคนที่ไม่มีอาการเจ็บปวดโดยให้แบ่งเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งนอน 8 ชั่วโมง 4 คืน อีกกลุ่มนอน 10 ชั่วโมง 4 คืน และใช้เครื่องมือตรวจสอบปัญหาการนอนของแพทย์ เช่นคลื่นสมอง การกลอกตาฯ มาใช้ประกอบกับทดสอบความรับรู้ต่อความเจ็บปวดด้วยความร้อน

ผลทดสอบปรากฎว่าการนอนเพิ่มขึ้น 1.8 ชั่วโมงต่อคืนจากปกติช่วยเพิ่มความตื่นตัวระหว่างวันและช่วยลดความไวต่อการสัมผัสความเจ็บปวดลงได้อย่างเห็นผลโดยผู้ที่นอนมากกว่าสามารถวางมือบนความร้อนได้นานขึ้น 25 เปอร์เซนต์โดยแสดงอาการเจ็บปวดน้อยกว่า

การค้นพบนี้ตีพิมพ์ลงในวารสารสลีพ ระบุว่าผลที่ได้ดีกว่าการใช้ยาแก้ปวด 60 มิลลิกรัมที่เคยทดสอบไว้ก่อนหน้านี้โดยผลที่ได้นี้สอดคล้องกับข้อมูลวิจัยก่อนหน้าที่เน้นว่าการพักผ่อนน้อยจะทำให้คนที่เหน็ดเหนื่อยอยู่แล้วไวต่อความเจ็บปวดที่ได้รับมากกว่าคนที่พักผ่อนอย่างเพียงพอ

ทราบอย่างนี้แล้วกลับมาให้ความสำคัญกับการนอนให้เพียงพอกันดีกว่าแม้ไม่ต้องเผชิญกับความเจ็บปวดอะไรแต่การพักผ่อนอย่างเพียงพอก็ทำให้สมองและร่างกายกระปรี้กระเปร่าแน่นอนแต่หากมีการเจ็บป่วยที่ต้องใช้ยา อย่าลืมพิจารณาความเหมาะสมไม่ใช่นอนทดแทนเอาเองจนการเจ็บป่วยลุกลามไปได้ 

ที่มา :หนังสือพิมพ์ASTV ผู้จัดการ อ้างอิงจากเดลิเมล์

Posted in นานาสาระ ..., สุขภาพ และโภชนาการ | Tagged: , , , | Leave a Comment »

ใช้ตาไม่ระวัง เสี่ยงบอด

Posted by Kru nawaporn บน มกราคม 11, 2013

clip_image002       ชีวิตสมัยใหม่ทำให้เราต้องใช้สายตาหนักกว่าในอดีตไม่ว่าการทำงานที่ต้องอยู่กับจอคอมพิวเตอร์วันหนึ่งหลาย ๆชั่วโมงอาหารการกินที่ไม่ได้ป้องกันสายตาเพียงพอทำให้เรามีโอกาสสูงมากที่จะมีปัญหาสุขภาพด้านสายตา

       ชีวิตปัจจุบันสายตาที่ต้องเจอกับจอคอมพิวเตอร์ทุกวัน หรือออกกลางแดดแบบไม่ชอบแว่นกันแดด เสี่ยงสูงกับตาเป็นต้อหรือจอตาเสื่อม เมื่อเราอายุเพิ่มมากขึ้นกล้ามเนื้อตาเริ่มที่จะสร้างรอยขุ่นมัวมาบดบังเลนส์ตาที่เรารู้จักกันดีว่าคือ ตาที่มีปัญหาต้อกระจกหรือปัญหาจอประสาทตาเสื่อม

       สถิติของการโรคต้อกระจกได้มีการเก็บรวบรวมไว้ว่าช่วงอายุ 50-59 ปี เป็นต้อกระจกถึง 60% อายุ 60-69 ปีเป็น 80% และมีถึง 90%ในคนอายุ 70ปีขึ้นไป

       อาการทั้งสองประเภทเกิดขึ้นได้เพราะกรรมพันธุ์ การสูบบุหรี่ การกินอาหารไขมันสูง และการถูกทำลายจากแสงแดดบทสรุปที่เป็นที่ยอมรับในปัจจุบันคือการถูกอนุมูลอิสระทำลายเซลล์นัยน์ตา

วิธีป้องกันปัญหา

ประการแรก พักสายตาให้ถูกต้องร่างกายบางส่วนเราใช้มันแล้วเรายังรู้จักให้มันพักแต่กับสายตาของเราอย่าลืมต้องจัดเวลาพักให้เหมาะสม เช่นถ้าใช้สายตากับจอคอมพิวเตอร์เราต้องพักสายตาทุก30 นาที โดยการทำการบริหารดวงตา เอามือ ทั้งสองครอบดวงตาให้สนิท หายใจเข้าลึก ๆแล้วค่อยปล่อยลมหายใจออกช้า ๆ ทำ 4 ครั้งต่อนาทีและทำติดต่อกัน 3-5 นาที

วิธีที่สอง มือถือปากกาหรือดินสอ แล้วเหยียดแขนตึงออกไปให้สุดจับตามองไปที่ปากกา 2-3 วินาที จากนั้นสลับโฟกัสไปให้เลยจุดหลังปากกาออกไปทำติดต่อกัน 5 ครั้ง

clip_image003อาหารที่ดีต่อสายตา

กินผักบุ้งแล้วตาหวาน โบราณว่าไว้ไม่ผิดจากความจริงผลวิจัยต่างสรุปตรงกันว่าผักใบเขียวเข้มช่วยเสริมสร้างสุขภาพดีของดวงตาเพราะสาระสำคัญในผักใบเขียว คือ ลิวทีนที่เป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระที่ทำให้ลดความเสี่ยงของต้อกระจกและจอประสาทตาเสื่อม

       แต่มีข้อแนะนำเพิ่มเติมว่า ลิวทีนเป็นสาระสำคัญที่ละลายได้ดีในน้ำมันเมื่อเวลาทานผักใบเขียวควรผัดในน้ำมันโดยเฉพาะน้ำมันมะกอกจะทำให้ร่างกายได้สารอาหารอย่างเต็มที่เข้มข้น

       American Journal of Clinical Nutrition ได้ตีพิมพ์ผลการศึกษาถึงพฤติกรรมของผู้ที่ชอบกินแป้ง กลุ่มคุกกี้ ขนมปังขาว หรืออาหารที่มีน้ำตาลสูง จะมีความเสี่ยงและมีโอกาสตาบอดมากกว่าผู้ที่ไม่ชอบกินเพราะอาหารเหล่านั้นจะทำให้เซลล์เสื่อมเร็วกว่าปกติและไม่ทานอาหารที่ต้านอนุมูลอิสระเพียงพอ

ที่มา: เว็บไซต์ Never-age.com

 

Posted in นานาสาระ ..., สุขภาพ และโภชนาการ | Tagged: , , , , | Leave a Comment »